บันทึกครั้งที่ 2
วันที่ 20 มกราคม 2560
วันที่ 20 มกราคม 2560
บรรยกาศในห้องเรียน
วันนี้อาจารย์สอนเรื่อง ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
วันนี้อาจารย์สอนเรื่อง ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
แบ่งได้เป็น
2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)
-เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา
-มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
-พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
-เรียนรู้สิ่งต่างๆ
ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
-อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง
ชอบซักถาม
-มีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก
-จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
-มีความรู้
ใช้คำศัพท์เกินวัย
-มีความคิดริเริ่ม
มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
-เป็นคนตื่นตัว
เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
-มีแรงจูงใจ
และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
-เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
-เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
-เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
-เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
-เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
-เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
-เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
-เด็กออทิสติก
-เด็กพิการซ้อน
1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
(Children with Intellectual Disabilities)
หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกันมี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า
และเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะในการเรียนรู้
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
- มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ
71-90
สาเหตุภายนอก
-เศรษฐกิจของครอบครัว
-การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
-สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
-การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
-วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
สาเหตุภายใน
•พัฒนาการช้า
•การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
เด็กปัญญาอ่อน
- ระดับสติปัญญาต่ำ
- พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
- มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
- อาการแสดงก่อนอายุ
18
เด็กปัญญาอ่อน
แบ่งตามระดับสติปัญญา
(IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1.
เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
- ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ
ได้เลย
- ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
•ไม่สามารถเรียนได้
ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
•กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า
C.M.R
(Custodial Mental Retardation)
3.
เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
- พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย
ๆ ได้
- สามารถฝึกอาชีพ
หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
- เรียกโดยทั่วไปว่า
T.M.R
(Trainable Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย
IQ 50-70
•เรียนในระดับประถมศึกษาได้
•สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้
•สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้
•เรียกโดยทั่ว
ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
-ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
-ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
-ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย
รอคอยไม่ได้
-ทำงานช้า
-รุนแรง ไม่มีเหตุผล
-อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
-ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21
เกินมา 1 แท่ง
(Trisomy 21)
อาการ
-ศีรษะเล็กและแบน คอสั้น
-หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
-ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
-ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ
รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
-เพดานปากโค้งนูน
ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
-ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น
ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
-มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
-เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ
-ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2
กว้าง
-มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
-บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
-อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
-มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
-อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
(Children with Hearing Impaired )
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง
หรือสูญเสียการได้ยิน
เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ
ได้ไม่ชัดเจน
มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ
เด็กหูหนวก
เด็กหูตึง
หมายถึง
เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง
จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
เด็กหูหนวก
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
(Children with Visual Impairments)
(Children with Visual Impairments)
- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง
เห็นเลือนราง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10
ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
การนำไปใช้
ได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเภทของเด็กพิเศษที่หลากหลายได้รู้ถึงความหมายและลักษณะอาการขงแต่ละโรคซึ่งสามารถนำไปสังเกตและนำความรู้ไปใช้ได้
การประเมินผล
ประเมินตนเอง
มาตรงเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม และร่วมกิจกรรมในห้อง
ประเมินเพื่อน
เพื่อนๆส่วนใหญ่มาตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียนโดยส่วนใหญ่
ประเมินอาจารย์
อาจารย์น่ารักมากๆ มตรงเวลา มีการเตรียมตัวมาพร้อมในการเรียนการสอนอยู่เสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น